มีหลายคนมักตั้งคำถามว่า ทำไมเด็กนอกเรียนไม่เห็นหนักเท่าไทย ทำไมเค้าถึงฉลาดกว่าเรา? ตอนบ่ายเค้าเล่นกีฬา เล่นดนตรี ตอนเช้าเค้าก็ไปเรียน เค้าเรียนกันยังไง เวลาเรียนจะพอหรอ? ระบบการเข้ามหาวิทยาลัยเป็นยังไง ทำไมอเมริกาถึงมีระบบการศึกษาดีเป็นอันดับ 1 ของโลก? วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ระบบการศึกษาของเค้าต่างจากเรามาก การศึกษาในระดับม.ปลายของไทยนั้น ใช้วิธีโดยการเลือกแผนกการเรียนเช่น วิทย์ -คณิต, ศิลป์ - คำนวณ, ศิลป์ - ภาษา เป็นต้น ต่างจากอเมริกาที่เค้าไม่มีแผนกให้เราเลือก แต่เราเลือกลงจากวิชาที่เราต้องการจะเรียน โดยแต่ละวิชามีระดับความยากง่ายตั้งแต่เบสิคไปจนถึงระดับสูง ทั้งยังมีสาขาย่อยที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะเรียนด้านไหน
วิชา
คณิตศาสตร์มีให้เลือกตั้งแต่เลข บวก ลบ คูณ หาร ไปจนถึง
แคลคูลัส วิชาทางด้านภาษาได้แก่ ภาษาอังกฤษเบสิคจนถึงระดับสูง, ภาษาสเปน, ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น วิทยาศาสตร์ได้แก่ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ เหมือนกับไทย ต่างกันแค่เค้ามีให้เลือกเรียนตั้งแต่เบสิคชีวะไปจนถึงเรียนอนาโตมีเลย สังคมก็เช่นกัน มี 4 สาขาใหญ่ ๆ ได้แก่ รัฐศาสตร์, ประวัติศาสตร์อเมริกัน, เศรษฐศาสตร์, สังคมศาสตร์ วิชาทางด้าน
สายศิลป์ ดนตรีก็มีให้เลือกหลายสาขา เช่น Jazz band, Choir, Symphonic band, Marching band, วิชาเต้นโคฟเวอร์เพลง, ศิลปะก็มีให้เลือกหลายระดับตามความอาร์ทของแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีวิชาอื่น ๆ เช่น วิชาการแก้ไขปัญหาภาวะเรือนกระจก, วิชาภาวะการเป็นผู้นำ, วิชาทำอาหาร, วิชางานประดิษฐ์ เป็นต้น นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของวิชาทั้งหมด ซึ่งจำนวนวิชาที่สามารถลงได้ในระดับมัธยมปลายมีทั้งหมด
ประมาณ 100 วิชา !!
นี่คือความแตกต่างระหว่างระบบการศึกษาไทยกับระบบการศึกษาของอเมริกัน ถ้าถามว่าแล้วเวลาเรียนจะพอหรอ เรียนแค่ครึ่งวันเองนะ ? พอแน่นอนเพราะว่าวิชาที่เลือกจะเรียนซ้ำ ๆ อยู่ทุกวันใน 1 ปีการศึกษา ทำให้มีเวลาที่จะเจาะลึกในวิชานั้น ๆ มาก ตอนบ่ายก็ให้เด็กผ่อนคลายโดยมีกิจกรรมต่างกันในแต่ละฤดูเช่น ในในฤดูใบไม้ร่วงได้แก่ เชียร์ลีดเดอร์, อเมริกันฟุตบอล, มาร์ชชิงแบนด์ , กอล์ฟ, ฟุตบอล ในหน้าหน้าวก็จะเปลี่ยนไปเล่น บาสเก็ตบอล, โบวลิ่ง, ว่ายน้ำ พอหมดหน้าหนาวก็มีรักบี้ มาให้เล่นอีก
เด็กไทยหลายคนมักจะพูดว่าอย่างภาคภูมิใจว่า เราเก่งเลขกว่าฝรั่งเยอะ ที่หลายคนคิดเช่นนั้นเนื่องจาก เด็กฝรั่งส่วนใหญ่มักเรียนเลขถึงแค่พีชคณิตขั้นสูง แก้สมการเป็น เรียนตรีโกณพื้นฐาน ก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากในระดับมหาวิทยาลัย พวกเค้าเหล่านั้นไม่ได้ใช้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียน ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนวิชาขั้นสูงเช่น
แคลคูลัสเพราะว่า คนกลุ่มนี้เมื่อเรียน
แคลคูลัสจบแล้ว สามารถเอาวิชานี้ไปยื่นต่อมหาวิทยาลัยเพื่อขอเก็บหน่วยกิตได้เลยโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนซ้ำใหม่ในมหาวิทยาลัย คนที่อยากจะเข้าหมอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนฟิสิกส์ หมอคงไม่มานั่งคำนวณอัตราเร่งการเดินของคนไข้หรอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า ระบบการศึกษาไทยนั้นจัดวิชาหนักเกินความจำเป็นให้เด็กเรียน หากจะเปรียบก็คงเหมือนเป็ดที่มีปีก ว่ายน้ำเป็น แต่ก็บินไม่ได้เหมือนนกและว่ายน้ำไม่เก่งเหมือนปลา จะเห็นได้ว่าเด็กที่นี่การเรียนคือความสุขของพวกเค้า ทุกวันที่ไปโรงเรียนคือความสุข ตื่นเช้าขึ้นมาเรียนในสิ่งที่ใจรัก พอภาคบ่ายทำกิจกรรมในสิ่งที่อยากจะทำ ไม่เหมือนไทยที่ต้องนั่งเรียนตั้งแต่ 8 โมงยัน 4 โมงเย็น พอตอนค่ำ ๆ ก็ต้องมานั่งเรียนพิเศษ บางทีเรียนถึง 3 ทุ่ม เนื่องจากกลัวว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เรียนไปซักพักก็โดดเรียนบ้าง หลับบ้าง ร่างกายคนเรามันรับไม่ไหวหรอก อย่าว่าแต่เด็กอายุ 15 เลย ผู้ใหญ่บางคนเห็นยังเหนื่อยแทน
นอกจากนี้การเก็บเกรด GPA เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนมีมาตรฐานเดียวกัน คือ ส่งงานให้ครบ สอบให้ผ่าน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ต่างจากที่ไทยที่คะแนน GPA นั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสอบแอดมิชชั่น ซึ่งในแต่ละโรงเรียนล้วนแต่ให้คะแนนไม่เท่ากัน โรงเรียน A นั้นให้ GPA มาก โรงเรียน B นั้นให้ GPA น้อย ทั้ง ๆ ที่ความรู้ความสามารถใน 2 โรงเรียนนั้นก็เท่ากัน ไม่มีอะไรที่เป็นมาตรฐานแน่นอน ทำให้การคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้มาตรฐาน
พูดถึงเรื่องคะแนนจิต
พิสัย คะแนนจิต
พิสัยคุณมีอะไรเป็นตัววัดว่าคุณควรจะได้คะแนนมากหรือน้อยคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนบางคนประจบครูเก่งๆ ก็ได้คะแนนจิต
พิสัยมาก ในขณะที่คนอีกกลุ่มเกเรแต่ได้คะแนนดีกลับมีจิต
พิสัยต่ำ มันแฟร์กับพวกเค้าเหล่านั้นแล้วหรอ จะบอกว่าจิต
พิสัยมีไว้เพื่อตัดคะแนนเด็กเวลาเด็กเข้าห้องเรียนสาย ส่งงานไม่ตรงเวลาผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก การที่เด็กจะเข้าห้องเรียนสายผมว่ามันเป็นเรื่องของฝ่ายระเบียบวินัย เด็กที่นี่หากเข้าห้องเรียนสายจะมีมาตรการลงโทษตาม
ลำดับขั้นตอนไป ซึ่งจะมีตั้งแต่ตักเตือน เรียกผู้ปกครอง เป็นต้น ส่วนเรื่องส่งงานไม่ตรงเวลาคุณสามารถที่จะตัดคะแนนในส่วนของผลงานได้เลย ไม่ใช่มาตัดในส่วนของจิต
พิสัย ถ้าจะบอกว่าเพื่อช่วยเด็กที่ได้เกรดน้อย อย่างนี้มันก็มี 2 มาตรฐาน มันก็ไม่แฟร์กับเด็กที่ได้คะแนนมาก เหมือนคะแนนเปล่าฟรี ๆ ถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ ทำไมไม่ชี้ข้อบกพร่องของงานเก่าที่ส่ง แล้วให้เด็กไปแก้งานมาส่งใหม่ไม่ดีกว่าหรอ ถ้าอย่างนั้นจิต
พิสัยคือคะแนนส่วนไหนหละ?
อีกทั้งครูที่นี่ยังไม่สั่งงานพร่ำเพรื่อ เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ มานั่งให้เด็กวาดรูป แทนที่จะมีเวลาให้เด็กไปอ่านหนังสือ ทบทวนเนื้อหาที่เรียน อีกทั้งในแต่ละงานยังมีคะแนนความสวยงามและคะแนนลายมือให้มันแฟร์แล้วหรอ อะไรเป็นตัววัดว่าสวยไม่สวย? อะไรเป็นตัววัดว่าลายมือดีหรือแย่? เด็กชาย A วาดรูปเก่งแต่มีความรู้ไม่เท่ากับเด็กชาย B ซึ่งวาดรูปไม่เก่งแต่มีความรู้ในวิชานั้นมาก คะแนนออกมา ปรากฎว่าเด็กชาย A มีคะแนนสูงกว่าเด็กชาย B !!!มันคือสิ่งที่เห็นได้ทั่ว ๆ ไปในระบบการเรียนการสอนของไทย ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีแฟ้มสะสมผลงานของครู ครูบางคนสั่งงานเด็กเพื่อที่ตนเองจะได้มีผลงาน แทนที่จะเอาเวลาส่วนนี้ไปสอนเนื้อหาให้เด็กมีความรู้มากยิ่งขึ้น ผมคิดว่ามันไม่แฟร์กับเด็กเช่นกัน
เวลาเด็กที่นี่มีข้อสงสัยการยกมือเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ๆ แตกต่างจากที่ไทย คุณยกมือถามครู ครูบางคนไม่อยากจะตอบเด็กด้วยซ้ำโดยให้เหตุผลว่า พูดไปแล้ว !!! ผมก็รู้ว่าครูพูดไปแล้วแต่ผมไม่เข้าใจนี่ถามใหม่ไม่ได้หรอ? หรือบางคนไม่กล้าถามเพราะกลัวถูกเพื่อนมองว่าโง่ แค่นี้ก็ไม่รู้ จะถามทำไมเสียเวลาขัดจังหวะการเรียนหมด บางคนกลัวสายตาจากคนรอบข้างเวลาถาม ทำให้เค้าไม่กล้าที่จะยกมือถามในสิ่งที่เค้าสงสัย? ซึ่งมันเป็นค่านิยมที่ผิด ที่พูดมาทั้งหมดไมได้แปลว่าครูดีๆ ไม่มีในเมืองไทย ครูหลายนั้นก็มีที่ดีมากเช่นกัน นี่เป็นเพียงแค่ครูส่วนหนึ่งเท่านั้น
การสอบ GAT-PAT ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ผมได้ยินจากเพื่อนว่าเค้ามีโพย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่ข่าวลือ นี่คือการสอบระดับชาติ แต่กลับพบว่านักเรียนมีโพยข้อสอบ? ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าข้อสอบนั้นจะรั่วจากไหน ถ้าคนออกข้อสอบไมได้เอาเฉลยไปบอกลูกบอกหลาน? สาเหตุก็เพราะว่าผู้ใหญ่เองนั่นแหละที่เป็นปัญหาของระบบการศึกษา การศึกษาถึงได้ไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ใหญ่ในสังคมไม่เป็นแม่แบบที่ดีแล้วจะให้เด็กเอาตัวอย่างดี ๆ จากไหน?
ผมได้เล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อน ๆ ฟังว่า เนี่ยถ้าเกิดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเอ็งจะจำโพยปะ เพื่อนผมบอกเลยว่าไม่ ผมก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก แต่คนที่นี่เค้ามีความซื่อสัตย์สูงมาก เด็กที่นี่ไม่มีลอกกันแม้กระทั่งครูคุมสอบไม่อยู่ในห้อง เพราะบทลงโทษเค้าร้ายแรงมาก ๆ ตั้งแต่ทำข้อสอบมาบอกได้เลยว่าไม่มีจริง ๆ ในขณะที่ไทยทำไม่ได้ ก็หันซ้ายหันขวาเป็นเรื่องปกติมาก ๆ เพราะการที่เราทำเรื่องเหล่านี้ให้เคยชินมันจึงปกติ ในขณะที่เค้านั้นไม่ค่อยจะมีการทุจริตการสอบมากเท่าไรมันจึงเป็นเรื่องร้ายแรง
ถ้าถามผมว่าหากเป็นผมผมจะจำโพยมั้ย ผมบอกเลยว่าจำแน่นอน และผมก็มั่นใจว่าเด็กที่จะแอดมิชชั่น 70 เปอร์เซนต์ก็จะตอบว่าจำชัวร์ ๆ ถ้าหากคุณเป็นพ่อเป็นแม่คน ลูกกำลังจะสอบแอดมิชชั่นในวันพรุ่งนี้ ลูกคุณแทบไม่มีอะไรในหัวเลย แต่ปรากฎว่าคุณมีโพยข้อสอบ คุณจะเอาโพยให้ลูกคุณไหม ? ถามจริง ๆ จะมีซักกี่คนที่ไม่ทำ !! เรื่องคอรัปชั่นในปัจจุบันกำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทย หลายคนมักจะพูดว่าเกลียดนักการเมืองโกง ๆ แต่เราลืมหันมาย้อนมองตัวเองว่า เราเองนั้นก็คอรัปชั่นด้วยเช่นกัน เพราะเรามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จนกระทั่งมันเป็นเรื่องปกติของสังคมไทยไปโดยปริยาย
วิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของคนที่นี่จะสอบโดยใช้ข้อสอบ ACT และ SAT เป็นตัววัด ซึ่งข้อสอบ GAT – PAT ของเรานั้นเทียบไม่ได้เลย เด็กที่นี่เลือกมหาวิทยาลัยจากคะแนน ACT – SAT ที่ได้แล้วค่อยเลือกคณะ ทำให้เด็กที่นี่มีอิสระในการเรียน อยากจะเรียนอะไรก็ได้ อยากจะเป็นอะไรก็ได้เป็น จบไฮสคูลได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ทำงานในสิ่งที่ใจรัก จึงไม่แปลกที่บ้านเมืองของเค้ามีความเจริญ เพราะเค้าใช้คนทำงานอย่างถูกต้อง ไม่ได้เอาคนที่อยากจะเป็นวิศวะมาเป็นหมอ หรือเอาคนที่อยากเป็นหมอมาเป็นวิศวะ ไม่มีค่านิยมว่าคนฉลาดต้องเรียนหมอเท่านั้น ไม่ใช่เลย !! อีกทั้งบ้านเราบังมีสถาบันทำลายการศึกษาไทย ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสถาบันนี้ตัดสินใจโดยยึดตนเองเป็นที่ตั้ง อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน อยากจะทำอะไรก็ทำโดยอ้างว่าเพื่อพัฒนาการศึกษาให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ผมถามจริง ๆ ว่าคุณเปลี่ยนแปลงกี่รอบแล้วมันดีขึ้นบ้างรึเปล่า ? ผมคิดว่าระบบที่คุณเปลี่ยนมันยังไม่ได้ครึ่งของอเมริกาเลย มันไม่ได้ดีขึ้นเลย ซ้ำกับแย่ลงทุกวัน ๆ เด็กไทยสมัยนี้เหมือนหนูทดลองที่โดนทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันแฟร์กับเด็กแล้วรึเปล่า? เพราะสถาบันนี้มีอีโก้สูง จึงไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงว่าสิ่งที่เค้าทำมันเป็นตัวทำลายระบบการศึกษา คนทั้งชาติเห็นแล้วว่าสิ่งที่พวกเค้าทำมันเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ใช่แนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษา มีแต่พวกเค้าเท่านั้นที่คิดว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำมันเป็นการทำเพื่อประเทศชาติเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย
ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่จะพูดว่าเห้ย !! เอ็งพูดแล้วเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างอะ สทศ เค้าจะรับรู้ไหม ? ถ้าเกิดคิดกันแบบนั้นก็คงไม่มีใครคิดที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไร งั้นก็ก้มหน้ารับชะตากรรมกันต่อไปแล้วกัน บางคนก็อาจจะพูดว่า เห้ย !! พูดแบบนี้มันก็เหมือนด่าประเทศไทยอ้อม ๆ รึเปล่า เด็กนอกมันเป็ยก็แบบนี้แหละ พออยู่นอกก็ลืมตังว่าบ้านเกิดเป็นยังไง ? ผมก็จะบอกว่าแล้วมันเป็นยังไงหละ สิ่งที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า บางคนก็อาจจะพูดต่อไปว่า บางเรื่องเอ็งคิดได้แต่พูดไม่ได้ ? เพราะการที่คิดได้แต่พูดไม่ได้นี่แหละ จึงทำให้พวกเราย่ำอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำให้พวกเราอยู่แต่ในกรอบไม่กล้าคิดนอกกรอบ พวกคุณลืมไปรึเปล่าว่าเรามีประชาธิปไตยก็เพราะเด็กนอก เราไม่เป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เพราะเด็กนอกเช่นกัน !! ตราบใดที่พวกคุณยังคงคิดแบบนั้น พวกเราเด็กไทยก็คงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป
Creditซ Apisit Tangsinmonkong (facebook)